รีวิว Keychron K10 Pro คีย์บอร์ดฟูลไซซ์ ม็อดพร้อมใช้ รองรับ Hot swap!

Keychron K10 Pro แมคคานิคอลคีย์บอร์ดฟูลไซซ์ที่คัสตอมมาแล้วพร้อมใช้ ทั้งม็อดโฟมซับเสียง ลูปสวิตช์ หรือถ้าอยากแต่งเพิ่มก็สามารถทำได้เพราะรองรับ Hot swap ถอดเปลี่ยนสวิตช์เองง่ายไม่ต้องบัดกรี และไม่ต้องห่วงประกันขาดเพราะ Keychron มีรับประกันแผงวงจรให้ 1 ปี รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Dual-mode ซัพพอร์ตทั้ง MacOS และ Windows อย่างเต็มระบบ มาพร้อมคีย์แคป Doubleshot สองภาษา ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากเพราะส่วนมากหลายแบรนด์จะทำ Doubleshot มาให้แค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความพิถีพิถันที่บรรจงใส่เข้ามาอีกเพียบ เพื่อให้นี่เป็นคีย์บอร์ด Plug & Play ที่พร้อมใช้ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง


ฟีเจอร์เด่น

ไซซ์ 100% พร้อมทุกการใช้งาน

Keychron K10 Pro มี 108 ปุ่มมาพร้อมโซนตัวเลขให้สายทำงานใช้ได้สะดวกมือและยังมี F13-F16 มาเพิ่มจากคีย์บอร์ดปกติให้สามารถคัสตอมผ่านโปรแกรม QMK/VIA ให้กลายเป็นปุ่มหรือฟังก์ชันอื่น ๆ ตามต้องการได้ และสเปคภายในก็ใส่มาให้แบบเอาไปเล่นเกมได้สบาย

รองรับ Hot swap

แม้จะม็อดมาพร้อมใช้แล้วแต่ถ้ายังไม่ถูกใจก็สามารถคัสตอมได้สบาย ถอดเปลี่ยนสวิตช์ง่าย ๆ แค่ใช้ที่ดึงดึงออกตรง ๆ ไม่ต้องบัดกรี รองรับสวิตช์ทั้ง 3 และ 5 pin

คีย์แคปที่ออกแบบมาพิเศษ

คีย์แคปมาในสไตล์ OSA Profile หรือ OEM ผสม SA ทำมุมโค้งมนพิเศษสวยงามรับนิ้วมือ วัสดุใช้เป็นพลาสติก PBT ทำฟอนต์แบบ Doubleshot 2 ภาษา แถมยังออกแบบโดยคัดสรรดีมากผู้ออกแบบฟอนต์ให้ Apple และบริษัทชั้นนำมากมาย ทำให้ได้ฟอนต์สวยคมดูทันสมัยโดดเด่นกว่าใคร แต่จะไม่ได้ยิงเลเซอร์ไฟลอดมาให้นะ

รองรับ MacOS เต็มรูปแบบ

มาพร้อมเลย์เอาท์คีย์แคปสำหรับ MacOS ที่มีครบยันปุ่มมัลติมีเดียด้านบนและปุ่ม Command ด้านล่างเหมือนกับคีย์บอร์ดดั้งเดิมของแมค โดยที่ยังมีเลย์เอาท์ของ Windows มาให้เช่นปกติ สมกับที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแมคคานิคอลคีย์บอร์ดที่ดีที่สุดสำหรับ Mac


การดีไซน์และสเปค

Keychron K10 Pro

Keychron K10 Pro เป็นแมคคานิคอลคีย์บอร์ด 100% มีทั้งหมด 108 ปุ่ม รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Dual-mode หรือก็คือเสียบสาย Type-C และ Bluetooth 5.1 ได้พร้อมกันสูงสุด 3 อุปกรณ์ เคสทำจากวัสดุพลาสติก ABS สีดำด้าน พื้นผิวเรียบเนียน ไม่เป็นเงาและไม่ทิ้งคราบเหงื่อหรือรอยนิ้วมือ คีย์แคปตกแต่งด้วยสีสันตัดกัน 3 สี

เหนือปุ่ม Arrow มีไฟบอกสถานะการชาร์จ, การเชื่อมต่อ Bluetooth และไฟ Caps Lock มาให้ เคสบนล่างแบ่งเลเยอร์ต่างกันชัดเจน ขอบบนมุมซ้ายมีสวิตช์ปรับโหมดการเชื่อมต่อระหว่าง เสียบสาย ปิดเครื่องและ Bluetooth มาให้ ข้างกันเป็นสวิตช์ปรับเลย์เอาท์ปุ่มระหว่าง MacOS กับ Windows และมีพอร์ต Type-C มาให้ 1 ช่อง ใต้เคสมีฟีทยางมาให้ 5 จุดพร้อมขาปรับระดับความสูง 2 ขั้น และจะเห็นได้ว่าน็อตที่ใช้ยึดเคสใช้เป็นสีทองตัดกับเคสดำได้ดีช่วยเพิ่มความสวยงานหรูหราให้กับคีย์บอร์ด

โครงสร้างด้านในให้ Stabilizer มาแบบ Screw-In PCB ช่วยให้การกดปุ่มใหญ่ ๆ เช่น Spacebar หรือ Enter มีความโยกเยก (Wobble) น้อยลง เพลทใช้เป็นโลหะให้ความรู้สึกแข็งพิมพ์แล้วเสียงดัง ถ้าใครไม่ชอบสามารถหาซื้อเพลท FR4 หรือ PC ที่มีความนิ่มสบายนิ้วมากกว่ามาม็อดเพิ่มเองได้ ด้านใต้ม็อดโฟมและซิลิโคนซับเสียงมาให้ 2 ชั้น

ในส่วนของสเปครุ่นนี้รองรับ Anti-ghosting 100% กดทุกปุ่มได้พร้อมกันไม่มีอาการดับหรือหลอน และรองรับ Polling rate ในโหมดเสียบสายที่ 1000Hz ส่วน Bluetooth จะลดลงมาเหลือ 90Hz เท่านั้น ฉะนั้นหากจะนำไปใช้เล่นเกมแนะนำให้เสียบสายตรงจึงจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเทียบเท่ามาตรฐานคีย์บอร์ดเกมมิ่งในตลาด แบตเตอรี่ใส่มา 4000 mAh ค่อนข้างพอดี ๆ ใช้งานไร้สายในโหมดปิดไฟ Backlit ได้ต่อเนื่อง 300 ชั่วโมง แต่หากเปิดไฟไปด้วย (ความสว่างต่อสุด) จะใช้งานได้ทั้งหมด 100 ชั่วโมงต่อ 1 ชาร์จ น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1,495 กรัม เหมาะจะนำไว้ประจำโต๊ะเป็นคีย์บอร์ดหลักมากกว่าจะพกพาไปใช้นอกสถานที่


สวิตช์

สำหรับรุ่น K10 Pro จะมีสวิตช์ให้เลือก 3 แบบคือ Red, Blue และ Brown ซึ่งเป็นสวิตช์ Linear, Clicky และ Tactile ตามลำดับ ผลิตเองโดย Keychron พรีลูปสารหล่อลื่นมาให้แล้วจากโรงงาน (ยกเว้นรุ่น Blue) ตัว Red จะเสียงเบาที่สุด ออกแรงกดง่ายเหมาะสำหรับการใช้งานในออฟฟิศแบบไม่สร้างเสียงรบกวนเพื่อนร่วมงาน ตัว Blue เสียงจะค่อนข้างดังสะใจ พิมพ์สนุก เหมือนเสียงคลิกเมาส์ ส่วน Brown ซึ่งเป็นสวิตช์ที่อยู่ในตัวคีย์บอร์ดที่ผู้เขียนได้มารีวิวจะเป็นสวิตช์สองจังหวะ กดแล้วมีแรงต้านเบา ๆ และมีเสียงดังกลาง ๆ ซึ่งหากเทียบกับแมคคานิคอลคีย์บอร์ดแบรนด์อื่น ๆ ผู้เขียนมองว่าสัมผัสมันค่อนข้างจะคล้ายกับสวิตช์ Linear มากกว่า เนื่องจากแรงต้านน้อยมาก แต่ยังคงให้ฟิลลิ่งแบบ 2 จังหวะชัดเจนอยู่

โหมดไฟ

แม้ Keychron แต่ละซีรีส์มักออกแบบมาในดีไซน์สวยคลาสิก ไม่ก็ไปทางเรียบหรู แต่รุ่นนี้ก็ไม่ลืมจะเอาใจเกมเมอร์ด้วยการใส่ไฟ Full RGB Backlite มาให้ถึง 22 โหมด วางตำแหน่งไฟมาแบบ South-facing ทำมุมรับสายตา ยิ่งตัว Top-housing ของสวิตช์ทำเป็นกรอบใส ไฟยิ่งทะลุทะลวงขึ้นมาทำให้สีสันสวยงามชัดเจน

โปรแกรมปรับแต่ง

K10 Pro รองรับการคัสตอมค่าต่าง ๆ ผ่านโปรแกรม Open source อย่าง QMK และ VIA ทำให้สามารถตั้งค่าได้โดยตรงผ่านเว็บไซต์ รองรับทั้ง MacOS และ Windows โดยสิ่งที่สามารถตั้งค่าได้ อ้างอิงจากหน้าโปรแกรม VIA ก็จะมีตั้งแต่ Keymapping, Macro และการตั้งค่าโหมดไฟซึ่งปรับได้ค่อนข้างละเอียด เช่น ระดับความสว่าง, โหมดไฟ, ความไว และสี


ของในกล่อง

  • คีย์บอร์ด
  • สาย USB-A to USB Type-C แบบถัก
  • ที่ดึงคีย์แคป
  • ที่ดึงสวิตช์
  • คู่มือการใช้งาน
  • ไขควงสำหรับม็อด
  • คีย์แคปสำหรับ Mac/Wins

Keychron K10 Pro เหมาะกับใคร

ด้วยสเปคที่ให้มาถึงระดับเกมมิ่งและมีปุ่มครบครัน K10 Pro จึงเหมาะสำหรับทั้งสายทำงานและคนเล่นเกม ที่สำคัญคือรองรับการใช้งานฝั่งผู้ใช้ MacOS เต็มรูปแบบ จะเชื่อมต่อหลายเครื่องพร้อมกันผ่าน Bluetooth แล้วสลับการใช้งานไปมาก็สะดวก แต่มีข้อสังเกตตรงที่คีย์บอร์ดรุ่นนี้จะไม่รองรับสัญญาณ Wireless 2.4 GHz ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรหากคุณจะนำคีย์บอร์ดไปใช้ทำงานทั่วไป แต่หากจะนำไปเล่นเกมควรเชื่อมต่อผ่านสาย Type-C โดยตรงเท่านั้นเพราะจะได้ใช้งาน Polling rate เต็ม 1000 Hz ไม่ถูกลดประสิทธิภาพด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี Bluetooth นอกจากนี้แม้ K10 Pro จะม็อดเบื้องต้นมาให้พร้อมแล้วแต่หากต้องการฟิลลิ่งที่แน่นขึ้น หรือเสียงที่ไพเราะกว่าเดิมผู้เขียนแนะนำให้นำคีย์บอร์ดรุ่นนี้ไปม็อดเพิ่มอีกสักนิดก็น่าจะได้อรรถรสที่น่าพึงพอใจ

ราคา 4,790.- (รับประกัน 1 ปี)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img