วิธีดูสเปคหูฟัง ฟังเพลงเพราะเล่นเกมได้

สเปคหูฟังที่จำเป็นต้องรู้

สเปคหูฟัง

ว่ากันตามตรง การซื้อหูฟังดี ๆ สักตัวนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะสเปคยุบยับชวนงงมาก มีแต่ศัพท์เทคนิคอย่างเช่น Frequency Response, Impedance, Sensitivity และอีกร้อยแปดพันเก้า ผู้เขียนจึงอยากมาคลี่คลายความงงงวยด้วยบทความนี้ ที่จะอธิบายเจาะไปที่สเปคข้างกล่องแต่ละตัวเลยว่ามันคืออะไรแบบเข้าใจง่าย อ่านจบเลือกซื้อหูฟังเป็นขึ้นแน่นอน


Connection การเชื่อมต่อ

ปัจจุบันหูฟังมีให้เลือกทั้งแบบเสียบสายและไร้สาย ซึ่งก็มีแตกแยกย่อยลงไปอีก เช่น แบบสายก็มีทั้งพอร์ต Aux 3.5 มิลลิเมตร, Type-C หรือแบบ Lightning สำหรับอุปกรณ์ Apple ฯลฯ โดยที่นิยมมากก็จะเป็นพอร์ต Aux 3.5 มิลลิเมตรเพราะมีอุปกรณ์รองรับล้นตลาด แต่มือถือเรือธงหลายรุ่นที่ต้องการความบางก็เลือกตัดพอร์ตนี้ทิ้งและให้ใช้งานผ่านพอร์ต Type-C แทน ส่วนแบบไร้สายก็จะมีทั้งแบบ Wireless 2.4 GHz และ Bluetooth ซึ่งโดยทั่วไป 2.4 GHz มักจะมีความหน่วง (Latency) ในการรับส่งข้อมูลน้อยกว่า และระยะสัญญาณ (Range) ไกลกว่า Bluetooth

จะเลือกหูฟังสักตัวก็ต้องดูว่าอุปกรณ์ที่จะไปเชื่อมต่อรองรับแบบไหน และหากจะนำหูฟังไร้สายมาเล่นเกมก็ต้องดูด้วยว่ามีความหน่วงต่ำหรือไม่ เพราะหลาย ๆ เกม เช่น เกมยิงหากเสียงเดินเสียงปืนดีเลย์จะทำให้เสียเปรียบในการเล่นได้ (เสียอรรถรสด้วย) โดยแบรนด์มักจะระบุไว้ข้างกล่องว่ารองรับการเล่นเกม หรือไม่ก็มี Game mode มาให้ ซึ่งปัจจุบันมีหูฟังให้เลือกทั้งแบบไร้สายแท้ ๆ เสียบใช้ผ่านสายไม่ได้เลย แบบผสมใช้ได้ทั้งเสียบสายและไร้สาย รวมถึงแบบเสียบสายเท่านั้น


Frequency Response ย่านความถี่ที่รองรับ

Frequency Response แบบง่าย ๆ มันคือค่าที่บอกว่าหูฟังตัวนั้นรองรับการขับย่านเสียงสูง กลาง ต่ำมากแค่ไหน โดยย่านเสียงต่ำจะเป็นพวกเสียงทุ้มเสียงเบส ย่านเสียงกลางจะเป็นพวกเสียงร้องกับเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ และย่านสูงจะเป็นพวกเครื่องดนตรีเสียงแหลม ๆ โดยเฉพาะเสียงโลหะกุ๊งกิ๊งต่าง ๆ ซึ่งย่านสูงจะช่วยเรื่องความใสของเสียงอีกด้วย

ย่านความถี่ที่มนุษย์ทั่วไปได้ยินจะอยู่ในช่วง 20 Hz (เฮิร์ต) – 20,000 Hz ซึ่งหูฟังที่มีคุณภาพระดับนึงก็จะรองรับครบทุกย่าน หรือบางรุ่นจะรองรับไปต่ำกว่าหรือสูงกว่าย่านความถี่นี้ได้ ซึ่งจะช่วยขับเสียงต่ำสูงได้ดีขึ้นถูกใจสายหูเคลือบทอง เพราะว่าความสามารถในการได้ยินจะแตกต่างไปในแต่ละคน บางคนก็ได้ยินเสียงย่านความถี่กว้างกว่าคนทั่วไป การเลือกหูฟังก็แนะนำให้รองรับความถี่ 20 Hz – 20,000 Hz ไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นจะดีที่สุด รวมถึงพวกไมโครโฟนก็มีวิธีการเลือกแบบเดียวกัน


Sensitivity ความไวในการตอบสนอง

อธิบายแบบชวนปวดหัวน้อยที่สุดมันก็คือค่าความดังของเสียงหูฟังเมื่อเทียบกับกำลังไฟฟ้า หากกำลังไฟฟ้าเท่ากัน หูฟังที่ Sensitivity สูงกว่า เสียงก็จะดังกว่านั่นเอง ซึ่งอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ อย่างมือถือ จะจ่ายไฟได้น้อย หูฟังที่จะใช้กับมือถือได้จึงต้องมีค่า Sensitivity สูง ซึ่งค่าที่แนะนำคือควรมากกว่า 100 dB (เดซิเบล) อย่างไรก็ดี มันยังมีเรื่องของคุณภาพเสียงมาเกี่ยวด้วย โดยหูฟังที่มี Sensitivity ต่ำจะให้คุณภาพเสียงสูงกว่า หูฟังตามสตูดิโอเพลงจึงมักจะมีค่านี้ต่ำกลับกันก็ต้องแลกกับการสูบพลังไฟฟ้าที่มากกว่า และพกไปใช้ข้างนอกไม่ได้เพราะเสียบใช้งานกับอุปกรณ์พกพาแล้วไฟเลี้ยงไม่พอนั่นเอง หากคุณไม่ได้ทำงานเพลงก็ไม่ต้องใส่ใจค่านี้มาก เพราะหูฟังใช้งานทั่ว ๆ ไปก็จะมีค่าอยู่ในระดับมากกว่า 100 dB ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว


Driver ตัวให้กำเนิดเสียง

Driver คือชิ้นส่วนในหูฟังที่แปลงกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นเสียง เป็นตัวหลัก ๆ ที่จะกำหนดคุณภาพของเสียง มีหลายขนาดและหลายประเภท แต่โดยส่วนใหญ่จะมีไซซ์อยู่ที่ 40mm (มิลลิเมตร) แต่สำหรับหูฟังเกมมิ่งมักจะขยับมาที่หลัก 50mm เพราะจะให้เวทีเสียงที่กว้างกว่าฟังเสียงเท้าในเกมได้ดีขึ้น โดยประเภทของไดร์เวอร์หลัก ๆ จะมีอยู่ 4 ประเภท แต่ที่เจอบ่อยในตลาดคือ Dynamic driver

Dynamic Driver

เป็นชนิดของไดร์เวอร์ที่ใช้มาอย่างแพร่หลาย คุณภาพดีและราคาถูก รองรับเสียงครบทุกย่านและให้เสียงเบสได้ดี แต่จะไม่ค่อยเก่งด้านเสียงย่านสูงโดยเฉพาะเมื่อเร่งเสียงดัง ๆ จะเกิดความเพี้ยนของเสียงมาก หูฟังและลำโพงส่วนใหญ่จะใช้ไดร์เวอร์ชนิดนี้

Balanced Armature Driver

เป็นไดร์เวอร์หูฟังขนาดเล็กที่เดิมแล้วใช้ในเครื่องช่วยฟัง แต่ปัจจุบันถูกพัฒนามาใช้ในหูฟังประเภท in-ear ให้เสียงค่อนข้างดี เก่งย่านเสียงสูง แต่จะให้ย่านถี่ต่ำหรือพวกเสียงเบสไม่ค่อยดี ข้อดีของไดร์เวอร์ประเภทนี้คือใช้พลังงานน้อยกว่าตัวอื่น

Planar Magnetic Driver

เป็นไดร์เวอร์ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่าแบบ Dynamic เสียงที่ได้คุณภาพค่อนข้างสูง สมจริง ความเพี้ยนต่ำ แต่จะน้ำหนักค่อนข้างมาก

Electrostatic Driver

เป็นไดร์เวอร์ที่ขนาดใหญ่กว่าแบบ Planar Magnetic ใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะต้องมีแอมป์ในการขับเสียง แต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพเสียงที่ดีมาก ไม่เพี้ยน คมชัดมากที่สุดในบรรดาไดร์เวอร์ทั้งหมด และราคาก็แรงมากที่สุดเช่นกัน


Impedance ค่าความต้านทาน

ค่าความต้านทานจะเกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้าและความดังของเสียงคล้ายกับค่า Sensitivity จำง่าย ๆ ว่ายิ่ง Impedance สูงยิ่งเสียงออกยากต้องใช้ไฟเยอะในการขับเสียง ตรงกันข้ามถ้า Impedance ต่ำก็จะสามารถเสียบใช้กับอุปกรณ์ที่จ่ายไฟน้อยอย่างพวกมือถือได้ และเช่นกันยิ่ง Impedance สูงคุณภาพเสียง เวทีและรายละเอียดเสียงก็จะสูงกว่า โดยค่านี้จะมีหน่วยเป็นโอห์ม (Ω) สำหรับหูฟังที่ใช้กับคอมฯ หรืออุปกรณ์พกพาควรมีค่า Impedance ไม่เกิน 50 โอห์ม ถ้ามากกว่านี้มักจะเป็นหูฟังที่ใช้ในวงการเพลงและเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ โดยหูฟังทั่วไปมักจะมีค่า Impedance อยู่แถว ๆ 32 โอห์ม

ข้อควรระวังคือหากเราเอาหูฟังสตูดิโอโอห์มสูง ๆ มาเสียบอุปกรณ์พกพาเสียงจะเล็กและเบามากหรืออาจไม่มีเสียงออกมาเลยเพราะกำลังไฟไม่พอ แต่หากเอาหูฟังโอห์มต่ำไปเสียบใช้กับอุปกรณ์ห้องอัดกำลังไฟสูงก็อาจทำให้เสียงดังหูแตกหรืออาจถึงขั้นหูฟังสิ้นชีพเลยก็เป็นได้


นี่คือสเปคหูฟังหลัก ๆ ที่มักเห็นอยู่หลังกล่องหูฟังแทบทุกแบรนด์ แต่นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์และสเปคจุกจิกอีกหลายอย่างที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ เช่น เรื่องของการรองรับโปรแกรมหรือแอปที่ทำให้เราสามารถตั้งค่าหูฟังเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็น EQ, โหมดเสียง, ตัดเสียงรบกวน หรือจะเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ เวลาใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รวมถึงเรื่องดีไซน์และวัสดุการผลิตหูฟังก็สำคัญ

ขอบคุณภาพประกอบจาก Corsair, Edifier และ Apple

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img