วิธีเลือกซื้อเมาส์เกมมิ่งเบื้องต้น ต่างจากเมาส์ธรรมดายังไง

วิธีเลือกซื้อเมาส์เกมมิ่ง

“เมาส์” แขนขาของคอมฯ หรืออีกนัยก็เปรียบได้ดั่งอาวุธสุดแหลมคมที่จะให้เกมเมอร์เฉือนเฉียดเอาชนะศัตรูในเกมได้เลย แม้เมาส์ธรรมดาก็พอจะเอาไปเล่นเกมได้ แต่เชื่อเถอะว่าคุณภาพของเมาส์เกมมิ่งดีกว่ามาก ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและความทนทานในการเอาไปเล่นเกมหรือใช้งานทั่วไป ว่าแต่วิธีเลือกซื้อเมาส์เกมมิ่งต้องดูยังไง สเปคมากมายก่ายกอง DPI, Polling rate คืออะไร และมันต่างจากเมาส์ธรรมดายังไง บทความนี้จะไขข้อสงสัยให้คุณ


เมาส์ธรรมดาต่างจากเมาส์เกมมิ่งยังไง

อยากขีดเส้นใต้ให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าเมาส์เกมมิ่งไม่ได้เหมาะแค่สำหรับนำไปใช้เล่นเกมเท่านั้น คนทำงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น ทำงานกราฟิก แต่งภาพ วาดรูป หรือคนใช้งานทั่วไปที่อยากได้เมาส์ที่เข้ามือ ใช้งานนาน ๆ ไม่ปวดเมื่อย แถมยังมีดีไซน์สวย ๆ ให้เลือกเยอะ เมาส์เกมมิ่งก็อาจเป็นคำตอบของคุณเช่นกัน เพราะเมาส์เกมมิ่งมีรูปทรงให้เลือกหลายแบบ บางตัวใช้ดีไซน์ Ergonomic ออกแบบให้รับกับสรีระของมือด้วยนะ นอกจากนี้เมาส์เกมมิ่งก็มักจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า โดยมักจะมีบอกไว้หน้ากล่องเลยว่าเมาส์ตัวนี้ทนแรงคลิกได้กี่ครั้งไม่ว่าจะ 50 ล้าน, 80 ล้าน, 100 ล้าน หรือ 150 ล้านคลิกก็ยังมี บางตัวถ้าเสียก็ถอดเปลี่ยนสวิตช์คลิกเองได้ด้วย ขณะที่เมาส์ธรรมดาถ้าเสียโยนทิ้งซื้อใหม่อย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความสามารถในการปรับแต่ง ปรับความละเอียดเมาส์ได้อย่างง่ายดาย (DPI) มีปุ่มมาโครที่มีเพิ่มมาให้เราใส่คีย์ลัดต่าง ๆ เข้าไปได้ เช่น ใช้ปุ่มด้านข้างสำหรับเพิ่มลดเสียง, ใช้เป็นปุ่ม Copy & Paste หรือคำสั่งอะไรก็ตามที่เราใช้งานบ่อย ๆ ขณะที่เมาส์ธรรมดามักจะมีแค่ปุ่มคลิกซ้ายขวากับปุ่ม Scroll wheel เพียงเท่านั้น


ทรงและรูปแบบการจับเมาส์

เมาส์เกมมิ่งจะแบ่งประเภทของทรงเมาส์ออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ Ergonomic กับ Ambidextrous หรือก็คือเมาส์ที่ออกแบบให้โค้งเว้าให้เข้ากับมือขวาตามหลักสรีรศาสตร์ กับเมาส์ทรงสมมาตรที่ด้านซ้ายและขวาเท่ากัน โดยเมาส์ Ergo จะออกแบบโดยนำค่าเฉลี่ยของสรีระมือขวาของคนส่วนใหญ่มาดีไซน์ให้ด้านซ้ายของเมาส์เป็นร่องโค้งรับกับนิ้วโป้ง และใต้ฝ่ามือจะยกสูงขึ้นมารับอุ้งมือพอดี กลับกันเมาส์ทรงสมมาตรจะมีรูปทรงเท่ากันทุกด้าน ซึ่งทั้ง 2 ประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน นอกจากนี้ควรพิจารณาด้วยว่าปกติแล้วเราถนัดจับเมาส์ท่าไหนเป็นหลักจึงจะตอบได้ว่าควรใช้เมาส์ทรงแบบใด

วิธีเลือกซื้อเมาส์เกมมิ่ง

วิธีจับเมาส์แบ่งออกเป็น 3 ท่าได้แก่ Claw Grip, Palm Grip และ Fingertip Grip โดยคนที่ถนัดจับ Palm Grip (วางทั้งฝ่ามือลงบนเมาส์) จะเหมาะกับเมาส์ Ergo มากที่สุด ส่วนคนที่ถนัด Claw Grip กับ Fingertip Grip จะเหมาะกับเมาส์ทรงสมมาตรมากกว่า โดยวิธีจับเมาส์แต่ละท่าต่างกันอย่างไรสามารถดูได้จากภาพประกอบหรืออ่านได้ที่บทความวิธีจับเมาส์ทั้ง 3 แบบต่างกันอย่างไร?


เซนเซอร์คืออะไร DPI กับ Polling rate ล่ะ

เซนเซอร์ทำหน้าที่ตรวจจับความเคลื่อนไหวของเมาส์ ที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือ Optical Sensor และ Laser Sensor โดยข้อดีของออปติคอลคือแม่นยำสูงและใช้งานได้บนหลายพื้นผิวแม้มีความขรุขระหรือฝุ่นละออง เช่น แผ่นรองเมาส์ผ้าที่มีขุย แต่จะใช้งานกับพื้นผิวมันวาวหรือผิวกระจกไม่ได้ ส่วนเลเซอร์จะมีความแม่นยำสูงมาก ใช้งานบนผิวมันวาวและกระจกได้ แต่จะอ่อนไหวกับฝุ่นละอองและพื้นผิวที่ไม่เรียบสนิท โดย Sensor แต่ละแบรนด์แต่ละรุ่นจะมีผลกับค่า DPI และ Polling rate ด้วย

DPI คือค่าความละเอียดเมาส์ ยิ่งค่านี้สูงเคอร์เซอร์ยิ่งขยับตามมือเราได้ไว โดยเมาส์ธรรมดาจะมี DPI อยู่แถว ๆ 800 – 1600 DPI หรืออาจจะมากกว่านี้เล็กน้อย ขณะที่เมาส์เกมมิ่งไปไกลถึงขั้น 26000 ยัน 30000 DPI กันแล้ว และเมาส์เกมมิ่งหลายตัวจะมีปุ่ม DPI ให้บนเมาส์ทำให้สลับความไวไปมาได้สะดวกมาก ซึ่งค่านี้เกี่ยวข้องกับขนาดหน้าจอคอมที่เราใช้ด้วย ยิ่งจอมีขนาดใหญ่มากแค่ไหนก็ควรใช้ค่า DPI สูงตามขึ้นไป เพราะถ้าเมาส์ช้ากว่าจะลากเคอร์เซอร์จากมุมจอหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งคงได้หัวร้อนกันก่อนจะกวาดมือไปถึง

Polling rate คืออัตราความถี่การส่งข้อมูลจากเมาส์ไปสู่คอมพิวเตอร์ โดยเมาส์ธรรมดาจะมีค่าอยู่ที่ 125 Hz เท่านั้น หรือก็คือเมาส์จะอัปเดตข้อมูล 125 ครั้งใน 1 วินาที ขณะที่เมาส์เกมมิ่งมี Polling rate มาตรฐานอยู่ที่ 1000 Hz และปัจจุบันเทรนด์ 4000 Hz รวมถึง 8000 Hz ก็กำลังมาแล้ว ถ้าคุณเล่นเกมที่อาศัยความแม่นยำในการเล่นสูงอย่างเช่นบรรดาเกม FPS ถ้าค่า Polling rate น้อยแม้มือคุณจะไว สะบัดเมาส์ไปเล็งศัตรูเร็วแค่ไหน ถ้าเซนเซอร์มันตรวจจับการขยับไม่ทันเพราะ Polling rate น้อย ยังไงก็เล็งปืนไม่ได้ดั่งใจแน่นอน


สวิตช์ จำนวนปุ่มและการตั้งค่าผ่านโปรแกรม

สวิตช์หรือปุ่มคลิกซ้ายขวาของเมาส์เกมมิ่งที่ใช้กันอยู่ทั่วไปจะเป็นชนิด Mechanical switch กดแล้วมีเสียงดังคลิก ๆ อย่างที่คุ้นเคย แบรนด์ที่มักได้ยินชื่อบ่อย ๆ ก็ Omron กับ Kailh ที่เข็นสวิตช์ออกมาหลายต่อหลายรุ่นใส่ให้กับแบรนด์เมาส์ดัง ๆ หลายแบรนด์ นอกจากนี้แบรนด์เมาส์บางแบรนด์ก็มีสวิตช์เป็นของตัวเอง แต่ละตัวก็จะให้โทนเสียงดังเบา ทุ้มแหลมแตกต่างกันไป รวมถึงมีความทนทานแรงคลิกไม่เท่ากันด้วย

สวิตช์อีกประเภทที่นิยมรองลงมาก็คือ Optical switch ที่ใช้แสงตรวจจับการกดแทนการใช้ทองแดง ซึ่งจะตอบสนองได้ฉับไวกว่า ทนทานมากกว่า รวมถึงจะไม่มีอาการเมาส์เบิ้ลเพราะไม่มีกลไกการสัมผัสกันภายในเหมือน Mechanical switch แต่มีข้อสังเกตคือราคาจะสูงกว่าและเสียงเงียบทำให้ไม่ได้ฟีลลิ่งการกดแบบแมคคานีคอล

อย่างไรก็ดี บางแบรนด์เข้าใจดีว่าเสียงคลิกมันเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเมาส์ จึงมีการออกสวิตช์แบบลูกผสมออกมา เช่น LIGHTFORCE ของ Logitech ที่ใช้สวิตช์แบบออปติคอลแต่ใส่กลไกให้เสียงแบบแมคคานิคอลเข้าไปด้วย โดยเมาส์ระดับโปรตัวล่าสุดอย่าง G PRO X SUPERLIGHT 2 ก็ใช้สวิตช์แบบนี้เช่นกัน

Glorious Model O 2 Wireless

นอกจากนี้เมาส์เกมมิ่งมักมาพร้อมกับปุ่มมาโครหรือปุ่มเสริมที่เราสามารถตั้งค่าคำสั่งเพิ่มตามต้องการได้ จากปกติจะมีปุ่มคลิกซ้ายขวาและปุ่ม Scroll wheel แต่เมาส์เกมมิ่งจะมีปุ่มด้านซ้ายเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อย 2 ปุ่ม (หรือมากกว่านั้น) บางรุ่นมีปุ่มปรับ DPI มาให้ และบางตัวที่มีไฟ RGB วิบวับก็อาจจะมีปุ่มสลับโหมดไฟมาให้ด้วย โดยจะสามารถตั้งค่าปุ่ม ไฟ RGB รวมถึงค่า DPI ได้แบบละเอียดได้จากโปรแกรมของเมาส์รุ่นนั้น ๆ

อนึ่ง เมาส์บางรุ่นรองรับ Hot-swap ถอดเปลี่ยนสวิตช์เองได้ด้วยนะ


เมาส์มีสายหรือเมาส์ไร้สายแบบไหนดีกว่ากัน

อดีตมีค่านิยมกันว่าเมาส์มีสายย่อมดีกว่าเมาส์ไร้สายในแง่ความสเถียร แต่ปัจจุบันเมาส์ไร้สายพัฒนาไปมากจนแทบจะเสถียรไม่ต่างกันแล้ว และหลายรุ่นที่ทำออกมาก็รองรับการเชื่อมต่อแบบ Tri-mode เสียบสายก็ได้ ใช้ Wireless 2.4 GHz หรือ Bluetooth ก็ดี รวมถึงแม้จะมีแบตเตอรี่ในตัวแต่หลายรุ่นก็ไม่ได้หนักจนตึงมือแต่อย่างใด เช่น G PRO X SUPERLIGHT 2 นั้นหนักเพียง 60 กรัม หรือ VGN Dragonfly F1 MOBA ก็หนักแค่ 55 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ดี การใช้งานไร้สายบางครั้งหากขณะนั้นเราเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายพร้อมกันจำนวนมาก เช่น หูฟังไร้สาย, ลำโพงไร้สาย, คีย์บอร์ดไร้สายพร้อม ๆ กัน ก็อาจมีสัญญาณตีกันจนเมาส์หน่วงได้บ้าง หากกังวลในเรื่องนี้เมาส์มีสายอาจเป็นทางเลือกที่ดี หรือจะซื้อเมาส์ไร้สายแต่ให้เสียบสายใช้งานเป็นครั้งคราวเมื่อต้องใช้งานไร้สายหลายอุปกรณ์ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อ Dongle ขยายสัญญาณมาวางไว้ใกล้ ๆ เมาส์ก็ได้เช่นกัน


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจวิธีการเลือกซื้อเมาส์เกมมิ่งกันมากขึ้น แต่ถ้าจะลงลึกไปกว่านี้ก็อยากแนะนำให้พิจารณาถึงพวกน้ำหนักเมาส์ว่าเราถนัดเมาส์เบาหรือหนักมากว่ากัน ชอบผิวสัมผัสแบบลื่นหรือแบบด้าน และแม้จะเป็นเมาส์ทรงเดียวกันไม่ว่าจะ Ergo หรือสมมาตรมันจะมีรายละเอียดสัดส่วนที่ต่างกันเล็กน้อยเสมอ เช่น ความยาวเมาส์ หรือสัดส่วนโค้งเว้าไม่เท่ากัน ถ้าเป็นไปได้อยากแนะนำให้ลองจับสินค้าจริง หรืออ่านรีวิวข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจซื้อ รวมถึงนอกจากสเปคทั่วไปบางเมาส์ยังมีฟีเจอร์ล้ำ ๆ เช่น รองรับการชาร์จไร้สาย หรือแปลก ๆ เช่น ใส่พัดลมสำหรับคนเหงื่อออกมือมาให้ บ้างก็ใส่จอยสติ๊กมาให้โยกแทนปุ่มมาโครไปเลย เป็นต้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img